การตั้งชื่อบุคคล
ในวันที่คนเราเกิดมาสภาพความเป็นบุคคลเกิดขึ้นตามกฎหมาย เราได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งทันที แต่ทั้งนี้เราไม่อาจได้รับความคุ้มครองจากรัฐในทุกด้านเนื่องจากรัฐยังไม่มีข้อมูลของเรา ฉะนั้นเราจึงต้องไปแจ้งเกิดต่อนายทะเบียน โดยในการแจ้งเกิดนั้นต้องมีการแจ้งชื่อด้วย และในการตั้งชื่อของบุคคลแต่ละคนนั้นกฎหมายก็ได้กำหนดเงื่อนไข และข้อห้ามไว้บางประการ ชื่อของคนเรามีกี่ประเภท และชื่อไหนตั้งไม่ได้ กฎหมายกำหนดขอบเขตไว้ดังต่อไปนี้
ประเภทของชื่อ
ชื่อของคนเราตาม พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. ชื่อตัว หมายถึง ชื่อประจำตัวบุคคล หรือที่เราเรียกกันโดยทั่วไปว่า "ชื่อจริง"
2. ชื่อรอง หมายถึง ชื่อประกอบถัดจากชื่อตัว หรือที่เราเรียกกันโดยทั่วไปว่า "ชื่อเล่น"
3. ชื่อสกุล หมายถึง ชื่อประจำวงศ์สกุล หรือที่เราเรียกกันทั่วไปว่า "นามสกุล"
1. ชื่อตัว
การตั้งชื่อตัว หรือที่เรานิยมเรียกกันว่า"ชื่อจริง"นั้น ต้องไม่พ้องหรือไม่คล้ายกับพระปรมาภิไธย พระนามของพระราชินี หรือราชทินนาม กล่าวคือต้องไม่เหมือนหรือคล้ายกับพระปรมาภิไธยหรือหรือพระนามของพระราชินี หรือราชทินนาม ไม่ว่าจะเป็นพ้องรูปหรือพ้องเสียงก็ตาม ทั้งจะต้องไม่มีความหมายหยาบคาย
2. ชื่อรอง
การตั้งชื่อรอง หรือชื่อเล่นนั้นมีขอบเขตเหมือนกับการตั้งชื่อตัว หากแต่ต่างกันตรงที่กฎหมายไม่บังคับให้มีชื่อรอง ฉะนั้นชื่อรองจะมีหรือไม่ก็ได้
3.ชื่อสกุล
การตั้งชื่อสกุล หรือนามสกุลนั้นกฎหมายกำหนดขอบเขตไว้ดังนี้
1. ไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับพระปรมาภิไธยหรือพระนามของพระราชินี
2.ไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับราชทินนาม เว้นแต่ราชทินนามของตน ของผู้บุพการี หรือของผู้สืบสันดาน
3.ไม่ซ้ำกับชื่อสกุลที่ได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ หรือชื่อสกุลที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว
4.ไม่มีคำหรือความหมายหยาบคาย
5.มีพยัญชนะไม่เกินกว่าสิบพยัญชนะ เว้นแต่กรณีใช้ราชทินนามเป็นชื่อสกุล
เมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นแล้วเราก็สามารถตั้งชื่อตามความต้องการของเราได้ แต่ถ้าหากนายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนให้กับเรา เราสามารถยื่นอุทธรณ์ได้โดยยื่นอุทธรณ์ต่อนายทะเบียนที่ไม่รับจดทะเบียน แล้วนายทะเบียนจะดำเนินการส่งคำอุทธรณ์นั้นไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพื่อพิจารณาสั่ง โดยคำสั่งของรัฐมนตรีไม่ว่าจะอนุญาตให้เรามีชื่อตามที่เราต้องการหรือไม่ก็ตามคำสั่งดังกล่าวย่อมเป็นที่สุด ฉะนั้นหากรัฐมนตรีมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ใช้ชื่อตามที่เราต้องการ เราก็ต้องเปลี่ยนชื่อของเราให้ตรงตามหลักเกณฑ์ในเบื้องต้น
TanayChanont บล็อคที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายให้กับผู้ที่สนใจ โดยผู้จัดทำได้เผยแพร่ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ศึกษาทุกท่าน สำหรับเพื่อนร่วมวิชาชีพกฎหมายผู้จัดทำก็ได้รวบรวมคำพิพากษาศาลฎีกาที่เป็นประโยชน์ในการตีความตัวบทกฎหมาย ด้วยหวังว่าจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกับเพื่อนร่วมวิชาชีพทุกท่าน
วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554
การแจ้งเกิด
การแจ้งเกิด
การแจ้งเกิดเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งผู้มีหน้าที่ต้องดำเนินการแจ้งเกิดให้กับเด็กเพื่อประโยชน์ในการได้รับสิทธิตามกฎหมายจากภาครัฐ เพราะเมื่อเด็กเกิดมาย่อมไม่มีข้อมูลใดๆเกี่ยวกับตัวเด็กในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร ทั้งไม่อาจดำเนินการให้มีข้อมูลเกี่ยวกับเด็กก่อนเด็กเกิดได้ หากไม่ดำเนินการแจ้งเกิด เด็กก็ไม่อาจได้รับสิทธิจากภาครัฐอย่างเต็มที่ ฉะนั้นแล้ว อย่าลืม...!ดำเนินการแจ้งเกิดให้กับเด็กตามขอบเขตที่กฎหมายได้กำหนด ดังต่อไปนี้
ผู้มีหน้าที่ดำเนินการแจ้งเกิด
1. บิดา
2. มารดา
3. เจ้าบ้าน
ตาม พระราชบัญญัติทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 มาตรา18 กำหนดให้เป็นหน้าที่ของบิดา มารดา หรือเจ้าบ้าน (เจ้าบ้าน คือ ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครองบ้านอยู่ทั้งในฐานะเจ้าของบ้าน และผู้เช่า) เป็นผู้มีหน้าที่ดำเนินการแจ้งเกิด
กำหนดเวลา
บิดา มารดา หรือเจ้าบ้านต้องดำเินินการแจ้งเกิดให้กับเด็กภายในระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันที่เด็กเิกิด หากไม่สามารถแจ้งเกิดภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวได้ด้วยมีเหตุจำเป็น ต้องดำเนินการแจ้งเกิดภายใน 30 วันนับแต่วันที่เด็กเกิด กล่าวคือ ขยายระยะเวลาให้อีก 15 วันภายหลังครบกำหนดระยะเวลา 15 วัน
(หากไม่ดำเนินการแจ้งเกิดภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท)
สถานที่แจ้งเกิด
1. กรณีเด็กเกิดที่กรุงเทพมหานคร ได้แก่ สำนักงานเขต
2. กรณีเด็กเกิดที่ต่างจังหวัด ได้แก่ ที่ว่าการอำเภอ
3. กรณีเด็กเกิดที่ต่างจังหวัด และอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของเทศบาล ได้แก่ สำนักงานเทศบาล
หากไม่สะดวกในการแจ้งเกิด ณ ที่ทำการที่เด็กเกิดในท้องที่ จะแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่อื่นก็ได้
เอกสารหลักฐาน
1. บัตรประจำตัวประชาชนของผู้แจ้ง
2. สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน
3. หนังสือรับรองการเกิดจากโรงพยาบาล (ท.ร.1/1) (กรณีที่เด็กเกิดในสถานพยาบาล)
ขั้นตอนการดำเนินการ
1. ยื่นคำร้อง (แบบท.ร.100) ต่อนายทะเบียนพร้อมหลักฐานการแจ้งเกิด
2. นายทะเบียนตรวจสอบความถูกต้อง กรอกข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์
3. นายทะเบียนลงชื่อในสูติบัตร และออกสูติบัตรซึ่งเป็นหลักฐานการเกิดให้กับผู้แจ้ง
หมายเหตุ : ในวันแจ้งเกิดผู้แจ้งต้องแจ้งชื่อของเด็กพร้อมกับการแจ้งเกิดด้วย ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)